Saturday, March 30, 2013

แม่บ้านกับการดูแลผิวหน้าสูตรธรรมชาติ

          วันนี้แม่บ้านไม่ค่อยสบาย เนื่องจากอากาศของที่นี่เปลี่ยนแปลงบ่อยค่ะ จากฤดูหนาวเข้าฤดูใบไม้พลิ แต่บางวันอากาศก็ร้อนจนแม่บ้านนึกว่าเป็นฤดูร้อนเสียอีก เพราะร่างกายอาการไม่ค่อยจะดี วันนี้เลยต้องนั่งจับเจ่าอยู่บ้านไม่ได้ออกไปไหนเลยค่ะ ก็เลยคิดว่าน่าจะหาอะไรมานำเสนอคุณผู้อ่านที่น่ารักของแม่บ้านกันดีกว่าเนอะ
          เอาล่ะค่ะในเมื่อฤดูกาลมันเปลี่ยนจากหนาวมาเป็นร้อนขึ้น เราก็มาจูบลาสภาพผิวหน้าที่แห้งกร้านดูไม่มีชีวิตชีวาจากลมหนาว และต้อนรับผิวที่กระจ่างใส ดูๆโกลว์ๆก่อนเข้าหน้าร้อนกันด้วยวัตถุดิบธรรมชาติ ทำได้เอง แถมประหยัดเงินในกระเป๋าแม่บ้านอีกด้วยจ้า

          - ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอด้วยสูตรขัดหน้าด้วยมะนาว
         
          หากสาวๆกำลังมองหาวิธีการที่จะทำให้ผิวดูเปล่งปลั่งสดใส และสีผิวเรียบขึ้น ลองใช้มะนาวในส่วนผสมของการขัดหน้าดูค่ะ เพราะในมะนาวมีระดับวิตมินC ที่สูง และในน้ำมะนาวยังมีคุณสมบัติในการผลัดผิวอ่อนๆอีกด้วยค่ะ ซึ่งจะช่วยให้สีผิวที่หมองคล้ำไม่สม่ำเสมอ รอยแผลเป็นจากสิวจางลงได้เร็วขึ้น

                                        
                                        น้ำมะนาว             1          ช้อนชา
                                        น้ำมันมะกอก        1          ชัอนโต๊ะ
                                        น้ำผึ้ง                    1          ช้อนโต๊ะ
                                        น้ำตาลทราย        1 1/2    ช้อนโต๊ะ     

          ผสมส่วนผสมเข้าด้วยกันในถ้วย แล้วนำมานวดและขัดหน้าเบาๆสัก 5 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

          - ชะรอริ้วรอยแห่งวัยให้กับผิวด้วยการพอกหน้าด้วยอะโวคาโด
         
          คุณๆทราบกันหรือไหมค่ะว่าอะโวคาโด นอกจากนำไปปรุงอาหาร หรือ ใช้เพิ่มรสชาติให้กับสลัดจานโปรดของคุณแล้ว ในอะโวคาโดนั้นอุดมไปด้วยน้ำมันที่มีปริมาณกรดไขมันที่ช่วยบำรุงผิวพรรณของคุณอยู่เป็นจำนวนมาก และยังมีสารสเตอรอยด์ธรรมชาติจากพืชที่ชื่อ Sterolin ซึ่งช่วยฟื้นฟูผิวที่ถูกทำร้ายจากแสงแดด และริ้วรอยแห่งวัยอีกด้วย


                                          อะโวคาโดบด          1/2     ผล
                                          น้ำมันมะกอก            2       ช้อนโต๊ะ
                                          น้ำมะนาว                  2       ช้อนโต๊ะ

          ผสมส่วนผสมเข้าด้วยกัน แล้วนำมาพอกบนผิวทิ้งไว้ 15-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

          - กระชับผิวสวยด้วยการพอกหน้าด้วยแตงกวา
         
          สาวๆคงเคยได้ยินสูตรการนำแตงกวามาหั่นขวางบางๆมาแปะไว้บนตาทั้ง 2 ข้างเพื่อช่วยลดความบวมเป่งของผิวรอบดวงตากันใช่ไหม? นันก็เพราะว่าในแตงกวานั้นมีเอนไซม์ชนิดหนึ่งที่มีคุณสมบัติช่วยกระชับผิวนั่นเอง


                                         แตงกวาปลอกเปลือกแล้วบด            1/4           ผล
                                         เจลจากว่านหางจระเข้                       4             ช้อนโต๊ะ

          ผสมส่วนผสมเข้าด้วยกัน แล้วนำมาพอกบนผิวทิ้งไว้ 15-20 นาที แล้วล่างออกด้วยน้ำสะอาด

          - ผิวเกลี้ยงเกลาด้วยการขัดหน้าด้วยสตรอเบอรี่

          ถ้าคุณกำลังมีปัญหากับสิวที่กำลังมาเยี่ยมเยียน ( อย่างตัวแม่บ้านเป็นต้น ) ลองใช้สตรอเบอร๊ ซึ่งอุดมไปด้วยกรดซาลิไซลิกตามธรรมชาติอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งเจ้ากรดซาลิไซลิกนี้เป็นตัวสำคัญที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุของการเกิดสิว และ เป็นสารที่ใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์รักษาสิวที่มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาด



                                         สตรอเบอรี่บด          2-4       ผล
                                         นมผง                       1/4       ช้อนชา
                                         น้ำตาลทรายแดง      2         ช้อนโต๊ะ

          ผสมส่วนผสมเข้าด้วยกันในถ้วย แล้วนำมานวดและขัดหน้าเบาๆสัก 5 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

          เป็นอย่างไรบ้างค่ะ กับสูตรดูแลผิวหน้าแบบง่ายๆไม่ยุ่งยาก หาได้ตามธรรมชาติ ปลอดภัยจากสารเคมีและสารกันเสียต่างๆ ลองเอาไปทำกันดูน่ะค่ะ^^

Monday, March 25, 2013

แม่บ้านพาไปดู : ตลาด Peachtree Peddler's Flea Market

          สวัสดีค่ะ แม่บ้านกลับมารายงานตัวแล้วค่ะหลังจากหายหน้าหายตาไปหลายวัน วันนี้ได้โอกาสฤกษ์ดี(สามีไม่อยู่) และฤกษ์สะดวก(ลูกไม่กวน) เข้ามาอัพเดทบล๊อกของแม่บ้านฝรั่งกันค่ะ
          เนื่องจากผ่านวันหยุดสุดสัปดาห์มาหมาดๆ แม่บ้านได้มีโอกาสได้ไปเก็บภาพสถานที่ที่แม่จะนำทุกท่านไปเที่ยวกับแม่บ้านวันนี้กันค่ะ ถ้าเป็นสมัยแม่บ้านยังวัยรุ่นตอนที่ยังอยู่ที่เมืองไทย วันเสาร์-อาทิตย์ คนวัยร่วมสมัยเดียวกับแม่บ้าน(คำนวณเอาแล้วกันว่าสมัยไหน) ก็คงนึกถึงการไปเดินเล่นที่ตลาดนัดจตุจักร,ห้างมาบุญครอง(ตึกยังแบบเก่า) หรือเดินแถวสยามสแควร์ ก็สมัยนั้นมันไม่มีห้างพารากอน,ห้างเอ็มโพเรียม หรือห้างไฮโซหรูหราเกลื่อนเมืองเหมือนในสมัยนี้นี่นา ถึงต่อให้มี ด้วยใบหน้าบ้านๆและเป็นพวกเบี้ยน้อยหอยน้อยอย่างแม่บ้าน ทางเลือกที่ไฮโซที่สุดสำหรับชีวิตวัยรุ่นในตอนนั้นก็คงเป็นตลาดนัดจตุจักรนั่นเองค่ะ^^
          เมื่อนึกถึงตลาดนัดจตุจักร แม่บ้านก็นึกถึงตลาดนัดเสาร์-อาทิตย์ของที่อเมริกาที่เขาเรียกกันว่า "Flea Market" ค่ะ ซึ่งตลาดที่แม่บ้านจะพาไปวันนี้มีชื่อว่า Peachtree Peddler's Flea Market ตั้งอยู่ที่ 155 Mill Rd., McDonough, GA 30523 หมายเลขโทรศัพท์ +1(770)914-2269 ค่ะ

ตามคนนำทางกันไปเลยค่ะ

บริเวณลานจอดรถที่กว้างขวาง
ตรงทางเข้าอาคารด้านหน้ามีที่สำหรับสิงห์มอเตอร์ไซด์ได้จอดกันค่ะ
          ตลาดแห่งนี้ถือเป็นตลาดขนาดกลาง คือไม่เล็กมาก แต่ก็ไม่ใช่ตลาดที่มีขนาดใหญ่มากในรัฐจอร์เจีย (ไว้วันหลังถ้ามีโอกาส แม่บ้านจะไปเก็บภาพตลาดที่มีขนาดใหญ่กว่านี้มาฝากค่ะ)

เดินเล่นด้านนอกอาคารกัน
          ตลาด Flea Market ก็มีลักษณะคล้ายตลาดนัดบ้านเรา คือเจ้าของที่จะทำการแบ่งพื้นที่เป็นล๊อกๆให้ผู้ที่ต้องการจะจำหน่ายสินค้า หรือ บริการแลกเปลี่ยนสินค้าได้เช่ากัน ซึ่งสินค้าที่ให้บริการก็มีทั้งสินค้าใหม่ และสินค้าใช้แล้วที่ซื้อมาจำหน่าย หรือ นำมาเองจากครัวเรือน ในตลาดก็จะมีร้านขายผักและผลไม้ตามฤดูกาลทั้งจากฟาร์มและรับมาจำหน่ายขายต่อ ซึ่งลักษณะพื้นที่ที่ให้เช่าจะมีทั้งพื้นที่กลางแจ้งด้านนอกอาคาร และพื้นที่ด้านในอาคารที่ดูคล้ายๆคลังสินค้า(นึกภาพตลาดตะวันนาที่อยู่ข้างๆเดอะมอลล์บางกะปิน่ะค่ะ)

ร้านขายถั่วต้ม และของกินเล่น
โต๊ะเกมส์

หนุ่มๆเขาชอบสินค้าที่เกี่ยวข้องกับอินเดียแดง หรือพวกของเก่าๆโบราณๆ









สินค้ามือหนึ่งและมือสองมีมาให้เลือกสรร


แผ่นเกมส์ DS มือสอง

อุปกรณ์ช่างมือสองต่างๆ

บริเวณร้านขายผักและผลไม้

มีต้นไม้มาขายด้วย
          ลักษณะการให้เช่าพื้นที่ด้านนอกอาคารส่วนใหญ่ใช้หลักใครมาก่อนมีสิทธิ์จองพื้นที่ก่อน นั่นคือในแต่ละอาทิตย์ ร้านค้าด้านนอกจะไม่ประจำในตำแหน่งเดิม จะมีร้านค้าหน้าเก่าหน้าใหม่สลับหมุนเวียนกันมา ส่วนพื้นที่ด้านในจะมีลักษณะที่เรียกว่าถาวรกว่า คือ แต่ละร้านจะการตกแต่งร้าน มีการเช่าประจำไม่เคลื่อนย้ายร้านค้าไปไหน ส่วนอัตราค่าเช่าพื้นที่ด้านนอกก็จะถูกกว่าพื้นที่ด้านใน เพราะการตั้งขายสินค้ากลางแจ้งด้านนอกต้องคำนึงถึงสภาพดินฟ้าอากาศของวันนั้นๆ เพราะอากาศที่หนาวจัด,ร้อนจัด, ฝนที่ตกกระหน่ำ หรือแม้แต่หิมะที่ตกโปรยปราย ก็คงไม่เอื้ออำนวยให้ผู้ซื้ออยากจะเดินจับจ่ายสินค้าภายนอกอาคารนัก

เราย้ายไปเดินเล่นในตัวอาคารกันดีกว่า
ร้านขายน้องหมา
ร้านขายของสะสม
ร้านขายเครื่องประดับ
ร้านรับซ่อมคอมพิวเตอร์
ร้านขายอาหาร ส่วนใหญ่ก็อาหารฟาสฟู้ดแบบอเมริกันนั่นแหละค่ะ
มาถึงร้านเป้าหมายที่ต้องแวะทุกครั้งที่มาที่นี่ ร้านขายเทียนและน้ำมันหอม

น้ำมันหอมร้านนี้เป็นที่ที่แม่บ้านชอบมาอุดหนุนเป็นประจำมิได้ขาด

วันนี้แม่บ้าก็หิ้วผลไม้กลับมาบ้านนิดหน่อยค่ะ
ที่ขาดไม่ได้คือต้องซื้อน้ำมันหอมติดมือกลับมาด้วยค่ะ

          เป็นยังไงมั่งค่ะ เห็นแล้วก็คงไม่ตางกับตลาดนัดบ้านเรามากนักใช่ไมค่ะ ที่มีสินค้าหลากหลายให้เลือกในราคาถูก ประหยัดเงินในกระเป๋า เพราะสินค้าที่นี่ส่วนใหญ่ไม่คำนวณภาษีค่ะ

Sunday, March 17, 2013

แม่บ้านกับของสะสม : BEANIE BABIES ตุ๊กตายัดเมล็ดถั่วแสนน่ารัก

          วันนี้เป็นวันอาทิตย์ทีอากาศค่อนข้างอุ่นจนคิดว่ากำลังจะเข้าฤดูร้อนของที่รัฐจอเจียร์นี่ แม่บ้านแพทก็เกิดอาการครึ้มอกครึ้มใจ จัดแจงจัดเรียงสิ่งที่ตัวเองสะสม (ถึงแม้ปริมาณจะไม่มากมายอะไร) เอาออกมาให้ทุกท่านได้ยลโฉมกันค่ะ สิ่งนั้นก็คือ Beanie Babies ตุ๊กตายัดเมล็ดถั่วแสนน่ารักน่าชังของแม่บ้านแพทนั่นเอง น่ารักแค่ไหนดูกันเอาเองน่ะค่ะ

อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันเยอะๆน่ะลูก จะได้ไม่เหงา
กลุ่มผู้สูงอายุ พวกที่เกิดปี ค.ศ.1993

กลุ่มน้องหมี
2 ตัวโปรด Valentina(ชมพู) และ Valentino(ขาว)
          เอาล่ะค่ะได้ยลโฉมตุ๊กตาบีนนี่ เบบี้ที่แม่บ้านมีไปแล้ว ก็เลยถือโอกาสมาคุยเรื่องราวเกี่ยวกับตุ๊กตาชนิดนี้กันดีกว่าค่ะ บีนนี่ เบบี้ ถือกำเนิดขึ้นในปีค.ศ.1993 ซึ่งในครั้งแรกที่เปิดตัวนั้นจะมีตุ๊กตาอยู่ 9 แบบ ซึ่งมีชื่อดังนี้

1. Brownie : ตุ๊กตาหมีสีน้ำตาล



2. Chocolate : ตุ๊กตากวางมูส



3. Flash : ตุ๊กตาปลาโลมา


 4. Legs : ตุ๊กตากบ



5. Patti : ตุ๊กตาตุ่นปากเป็ด



6. Pinchers : ตุ๊กตากุ้งกล้ามโต

7. Splash : ตุ๊กตาปลาวาฬเพชรฆาตร


8. Spot : ตุ๊กตาน้องหมา




9. Squealer : ตุ๊กตาหมูสีชมพู



          ตุ๊กตาบีนนี่ เบบี้ แต่ละตัวจะถูกตั้งชื่อ, มีวันเดือนปีเกิด และบทกลอนสั้นๆที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแนบมาบนฉลาก โดยตุ๊กตาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือ Teddy Bear ซึ่งใช้สื้อความหมายถึงการระลึกถึงนั่นเอง

          ในปี ค.ศ.1996-1999 เป็นปีที่เฟื่องฟูของ บีนนี่ เบบี้ ผู้คนพากันคลั่งไคล้ให้ความสนใจตุ๊กตาชนิดนี้เป็นอย่างมาก บางคนถึงกับกวาดซื้อกันครั้งละจำนวนมากๆเพื่อเก็บสะสม เพื่อคาดหวังว่าเมื่อเวลาผ่านไปนานขึ้น มูลค่าของเจ้าตุ๊กตาเหล่านั้นจะสูงขึ้นหลายเท่าตัว ทางบริษัท Ty ผู้ผลิตและจำหน่ายตุ๊กตาบีนนี่ เบบี้ จึงตอบสนองจุดประสงค์ดังกล่าวด้วยการ หยุดผลิตตุ๊กตาบางแบบ เพื่อให้มันขาดตลาด ซึ่งจะช่วยให้เพิ่มความต้องการของผู้ต้องการจะสะสม และแน่นอนเพิ่มมูลค่าของตุ๊กตาแบบนั้นๆให้สูงขึ้นลิบอีกด้วย(นี่ละค่ะ หลักการกลไกตลาดสมัยเราเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์^^)

          ทาง Ty ได้ผลิตตุ๊กตาหมีออกมาหลายร้อยแบบเพื่อจำหน่าย จนถึงปี ค.ศ.1999 ก็ได้ยกเลิกการผลิต เมื่อความบ้าคลั่งในตัวตุ๊กตาบีนนี่ เบบี้สร่างซาลง  แต่ด้วยความต้องการของกลุ่มลูกค้านักสะสมที่ยังมีจำนวนมาก บริษัทจึงตัดสินใจเริ่มผลิตตุ๊กตาอีกครั้งในปี ค.ศ.2000 มันมีตุ๊กตาที่ชื่อ Millennium น้องหมีสีชมพูบานเย็น ซึ่งแน่นอนแม่บ้านแพทมี 1 ตัวในครอบครอง  เป็นตุ๊กตาที่มีปัญหาเรื่องการถูกสะกดชื่อผิดบน Swing Tag และ Tush Tag คือ มีพิมพ์ผิดเป็น Millenium แต่ตัวที่แม่บ้านมีนั้น พิมพ์ถูกต้องบนทั้ง 2 Tag เลยค่ะ(เดี๋ยวแม่บ้านจะมาพูดเรื่อง Tag กันตอนถัดไปอีกทีค่ะ) จนถึงปีนี้ปี ค.ศ.2013 ตุ๊กตาบีนนี่ เบบี้ก็ยังมีจำหน่ายให้ซื้อหาสะสมกัน แต่มูลค่าของตัวตุ๊กตานั้นไม่สูงเหมือนในอดีต (เรื่องนี้แม่บ้านห้ามพูดต่อหน้าสามีค่ะ เพราะเขาคือหนึ่งในนั้นที่สะสมตุ๊กตาบีนนี่ เบบี้ในช่วงรุ่งโรจ์ ราคาแพงม๊ากมาก เขาเล่าว่าเขามีสะสมกว่า 500 ตัว ชนิดจ่ายเงินครั้งละหลายพันในเครดิตการ์ดเพื่อซื้อเจ้าตุ๊กตาชนิดนี้ และแน่นอนเขาจำชื่อมันได้เกือบทุกตัว แฟนพันธุ์แท้จริงๆ ข้าน้อยขอซูฮก) ส่วนใหญ่ผู้ที่ซื้อไปนั้นจะเป็นเพราะความชอบส่วนตัวมากกว่าสะสมเพื่อเก็งกำไร
          มาที่เรื่องของ Tag หรือฉลากของตุ๊กตา เจ้าบีนนี่ เบบี้ จะมีฉลากติดมากับตัวตุ๊กตาอยู่ 2 ชนิด คือ

  1. Swing Tag : เป็นฉลากแบบกระดาษ ติดอยู่ตรงหูของตุ๊กตาด้านขวามือของเราค่ะ โดยฉลากด้านหน้าจะเป็นรูปหัวใจสีแดง มีสัญลักษณ์ ty สีขาวอยู่ตรงกลางหัวใจ ตัวฉลากดั้งเดิมจะมีแค่นั้น แต่ถ้าเป็นรุ่นใหม่ จะมีรูปดาวสีเหลืองด้านบนอักษร y และมีข้อความว่า BEANIE ORIGINAL BABYบนรูปดาวนั้นค่ะ ส่วนฉลากด้านในจะเหมือนกัน คือ มีชื่อของตุ๊กตา, วันเดือนปีเกิด และบทกลอนประจำตัวของตุ๊กตาแบบนั้นๆค่ะ ฉลากแบบนี้มีความสำคัญต่อมูลค่าของตัวตุ๊กตา คือ หากฉลากชำรุดเสียหาย หรือหักงอ ยับยู่ยี่ ราคาของเจ้าตุ๊กตาตัวนั้นในตลาดก็จะตกลงทันที ถึงขั้นบางครั้งราคาหายไปครึ่งหนึ่งของราคาปกติเลยค่ะ ทั้งที่แม้ไม่มีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับตุ๊กตาเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นนักสะสมส่วนใหญ่จะซื้อตัวปลอกพลาสติกหุ้ม ซึ่งมีจำหน่ายในร้านค้าที่จำหน่ายตุ๊กตาชนิดนี้มาเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อตัวฉลากกันเลยทีเดียว
  2. Tush Tag : เป็นฉลากแบบผ้าที่เย็บติดมากับตรงส่วนก้นของตุ๊กตา ซึ่งในปัจจุบันฉลากชนิดนี้จะมี hologram อยู่บนฉลากด้วย เพื่อป้องกันการผลิตปลอมแปลง หรือเลียนแบบค่ะ โดยอีกเช่นกันบนฉลากจะมีชื่อของตุ๊กตาพิมพ์อยู่ทุกตัว รวมทั้งข้อแนะนำในการทำความสะอาด (แต่แม่บ้านคิดว่า คงไม่มีใครเอาตุ๊กตาบีนนี่ เบบี้ไปซักหรอกค่ะ ขนาด Tag ยังกลัวเสียรูปเลย ว่าไหมอ่ะ?) ฉลากแบบนี้ก็มีผลต่อราคาตุ๊กตาเช่นกันน่ะค่ะ ก็พยามยามอย่าทำให้มันชำรุดเสียหายก็แล้วกันค่ะ


อันนี้ คือ Tush Tag ค่ะ และนี่คือ ชื่อที่พิมพ์ผิดบน Tag ค่ะ ที่ถูกต้อง คือ Millennium ค่ะ

          เหนื่อยกันหรือยังค่ะ สำหรับบล๊อกนี้ ใกล้ถึงที่สุดแล้วค่ะ จากที่อ่านมาข้างต้น คงมีคนอยากทราบกันใช่ไหมค่ะว่า แล้วตุ๊กตาในครอบครัว บีนนี่ เบบี้ ตัวใดที่มีมูลค่าและเป็นที่ต้องการสูงสุดกันน้า? เอาล่ะมาตามชมกันค่ะ แม่บ้านจะจัดเป็น 5 อันดับที่เป็นขวัญใจนักสะสมติดระดับโลก

อันดับ 1 : Peanut  เจ้าช้างสีฟ้าเข้ม ครองแชมป์ไปด้วยมูลค่าสูงสุด $4,500 ค่ะ

หน้าตาเขาเป็นแบบนี้ แต่ Tag จะเป็นแบบเก่า ไม่มีดาวน่ะค่ะ อันในรูปนี้น่าจะทำซ้ำของเก่าค่ะ

อันดับ 2 : Nana เจ้าลิงน้อยแสนซน มาเป็นรองแชมป์อยู่ที่มูลค่า $4,000 ค่ะ

ด้านขวาเป็น Tag แบบดั้งเดิมค่ะ ส่วนด้ายซ้ายผลิตขึ้นใหม่ค่ะ
อันดับ 3 : Pinchers เจ้าปูกล้ามโต(มีภาพด้านบนแล้วน่ะค่ะ ย้อนกลับไปดูนี้ดส์นึง) สนนราคาในตลาดนักสะสมอยู่ที $3,800 จ้า

อันดับ 4: Brownie เจ้าหมีสีน้ำตาล (อันนี้แม่บ้านก็ลงภาพไว้ด้านบนแล้วเช่นกันน่ะจ้ะ) ตามอันดับ 3 มาติดๆ อยู่ที่ $3,600

อันดับ 5: Brown Teddy Bear  เจ้าหมีเท็ดดี้สีน้ำตาล มาอันดับรั้งท้าย แต่ราคาไม่ท้าย ติดอันดับอยู่ที่ $2,800 เลยทีเดียว
          เอาล่ะค่ะ แม่บ้านทราบว่าทุกคนคงเหนื่อยกับการอ่านบล๊อกที่ร่ายยาวมาถึงจุดนี้ แม่บ้านก็ขอสรุปตอนท้ายไว้ที่ หากท่านใดคิดว่ารักและต้องการจะสะสมน้อง บีนนี่ เบบี้ ก็ขอให้สะสมด้วยใจน่ะค่ะ อย่าไปคิดเรื่องมูลค่า หรือการเก็งกำไร เพราะเจ้าตุ๊กตาพวกนี้มันมีคุณค่าทางจิตใจมากกว่าคุณค่าที่ตีเป็นราคา ดูแลรักษาเขาดีๆน่ะค่ะ เขาก็จะอยู่กับเราไปอีกนานจนชั่วลูกชั่วหลานเลยค่ะ แล้วถ้าใครสนใจก็อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในเว็บไซต์ต่อไปนี้ได้เลยค่ะ

เว็บไซต์บริษัท Ty  :  http://world.ty.com
เว็บไซต์นักสะสม   :  www.tycollector.com
เว็บไซต์เกี่ยวกับตุ๊กตา : http://collectibles.about.com/od/beanies/tp/tybeaniebabies.htm
เว็บไซต์จำหน่าย wholesale : www.barrysbeanies.com

Saturday, March 16, 2013

แม่บ้านชอบชิม : อาหารชาวใต้ที่ Thomas' Country Buffet

Southern United States

          สวัสดีค่ะมิตรรักชาวบล๊อกทั้งหลาย วันนี้แม่บ้านแพทได้โอกาสวันที่อากาศดี๊ดีมาอัพเดทบล๊อกให้ทุกคนอ่านกันเล่นๆค่ะ วันนี้แพท, แซค และลูกชายคนโต แบรนดอน เราจะไปทานอาหารสไตล์แบบฉบับชาวอเมริกันตอนใต้กันค่ะ
          เมื่อเอ่ยถึงอาหารทางใต้ของประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้คนก็ต้องนึกถึงอาหารแบบคันทรี่ อาหารที่เน้นการปรุงแบบง่ายๆ ไม่เน้นการตกแต่งสวยหรู อาหารที่ได้จากการเก็บเกี่ยวจากสวน จากไร่ จากฟาร์มแล้วนำมาปรุงเพื่อรับประทานกันในครัวเรือน ยกตัวอย่างเช่น fried chicken , cornbread, turnip green, peach pie และ sweet tea หากเอ่ยชื่ออาหารเหล่านี้ ชาวอเมริกันจะนึกถึงภาพชาวใต้ ชาวชนบท ที่ทำอาชีพเกษตรกรรมเป็นอาชีพดั้งเดิมในอดีต ซึ่งยังคงมีวัฒนธรรมด้านการกินสืบทอดกันมาจากรุ่นปู่ย่าตายายสู่รุ่นลูกหลานในปัจจุบัน

fried chicken
cornbread
turnip green
peach pie

sweet tea
          นอกจากนี้ยังมีอาหารอีกหลายชนิดที่เป็นรูปแบบอาหารของคนทางใต้ เช่น grits, country ham, hushpuppies, chicken fried steak, buttermilk biscuits,pimento cheese, boiled or baked sweet potatoes, pit barbecue (especially ribs), fried catfish, fried green tomatoes, bread pudding, okra , butter beans, pinto beans, และ black eyed peas (ที่มา : อ้างอิงจาก http://www.en.wikipedia.org)
          ซึ่งหากคุณอาศัยอยู่ในเขตทางใต้ของประเทศ คุณจะสามารถมองหาร้านที่ให้บริการอาหาร Southern Amrican ได้หลากหลายสถานที่ ยกตัวอย่างเชน ร้าน Cracker Barrel, Kentucky Fried Chicken, Bojangles' Famous Chicken 'n Biscuits, Church's Chicken, Mrs. Winner's, Sonny's, Tudor's Biscuit World และ Popeye's. เป็นต้น
          แต่วันนี้แม่บ้านไม่ได้พาคุณไปชมไปชิมร้านอาหารข้างต้นค่ะ แต่เราจะไปที่ร้านที่มีชื่อว่า Thomas' Country Buffet ค่ะ ซึ่งตั้งอยู่ที่ 4122 Emory St NW, Covington, GA ค่ะ เบอร์โทร +1 (678)212-0186
แม่บ้านแพทมารายงานตัวแล้วค่ะ วันนี้จัดตาฟ้า ปากชมพู แซ่บเว่อร์

มาถึงร้าน 2 คนพ่อลูกเขาเดินนำลิ่วๆ ไม่รอกันเลย


          ร้านอาหารแห่งนี้เดิมทีเป็นที่ตั้งของสถานีรถไฟในอดีตค่ะ ซึ่งบางครั้งขณะที่นั่งรับประทานอาหารในร้านก็จะได้ยินเสียงรถไฟวิ่งผ่าน หรือ เสียงหวูดรถไฟที่ดังก้องกังวานเป็นระยะๆ(ได้บรรยากาศแบบ gone with the wind ดีไหมค่ะ)

ภายในร้าน ภาพจากโต๊ะที่เรานั่งค่ะ

          ขณะที่เราเข้าไปในร้านนั้นเวลาประมาณบ่ายโมงของวันเสาร์ ซึ่งเป็นอาหารมื้อเที่ยง จะเห็นว่าทางร้านมีลูกค้าหนาตากว่าวันธรรมดา เราจึงเลือกที่นั่งในมุมที่มีคนพลุกพล่านน้อยที่สุด พร้อมสั่งเครื่องดื่มแบบคนทางใต้อย่างเรา นั่นคือ.......ใช่แล้วค่ะ ice tea ค่ะ แพทและแซคเลือกแบบ unsweet tea ส่วนลูกชายเลือกแบบ sweet tea ค่ะ หลังจากนั้นเราก็พร้อมลุย เลือกตักอาหารกันแบบตามใจชอบเลยค่ะ ไม่อิ่ม ไม่อ้วก ไม่เลิก

เลือกตักกันไม่อั้นค่ะ
โซนที่แพทชอบที่สุด คือ กลุ่มผัก และ ถั่วต่างๆ อร่อยม๊ากมาก

เรามีนายแบบรับเชิญมาโชว์การเลือกตักอาหารด้วย อิอิ
บริเวณที่มีลูกค้าใช้บริการมากที่สุด Fried chickens , BBQ Ribs และ Fried Chicken Livers ค่ะ
สลัด บาร์ ค่ะ เลือกกันจุใจไปเลย
          เอาล่ะค่ะวันนี้มาดูว่าแพทเลือกตักอะไรมาทานบ้างค่ะ ลิมิตของแพทอยู่ที่ 3 จานค่ะ  
จานที่ 1 แพทเลือกของโปรดนั่นคือ ตับไก่ทอด, สควอช, กรีนบีน และกระหล่ำปลีค่ะ
จานที่ 2 แพทเลือกไก่อบ, บาร์บีคิวกระดูกหมู และผักที่ชอบค่ะ
จานที่ 3 แพทเลือก หมูชุบแป้งทอด,คอร์นเบรด, ขนมปัง เพิ่ม turnip green ในจานด้วยค่ะ
          นี่แหละค่ะอาหารแบบง่ายๆที่คนทางใต้เราเลือกทานกัน เป็นไงบ้างค่ะพอจะทานได้กันไหมค่ะ ส่วนตัวแพทขณะที่เขียนบล๊อกเป็นเวลาประมาณเกือบทุ่มนึงแล้ว บอกได้คำเดียวว่ายังจุกและกินอะไรไม่ลงเลยค่ะ  นอกจากดื่มน้ำ กลายเป็นว่าจากการกินอาหารกลางวันกลายเป็นควบเลยไปเป็นอาหารเย็นด้วยเลย จุกจิงไรจิงอ่ะค่ะ ใครผ่านมาทางนี้ก็ลองแวะทานกันได้น่ะค่ะ